วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

คำอ้างอิงคุณค่าพระวรสาร

คำอ้างอิงคุณค่าพระวรสาร

(อสย 61:1) พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า  เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศ ข่าวดีแก่คนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้รักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ ให้ประกาศอิสรภาพแก่ บรรดาเชลย  และประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ที่ถูกจองจำ

(ลก 4:16-18) พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในศาลาธรรม ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่านพระคัมภีร์   มีผู้ส่งม้วน หนังสือประกาศกอิสยาห์ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า  "พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า  เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่คน ยากจน  ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ  คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ"

(อสย 35:4-6) พระเจ้าจะเสด็จมาและช่วยท่านให้รอด   แล้วนัยน์ตาของคนตาบอดจะเปิดออก แล้วหูของคนหูหนวกจะเบิก   แล้วคนง่อยจะกระโดดได้อย่างกวาง  และลิ้นของคนใบ้จะร้องเพลง

(ลก 7:22) พระองค์จึงตรัสตอบศิษย์ทั้งสองของยอห์นว่า "จงไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่ท่านได้เห็น และ ได้ยิน คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน  คนตายกลับคืนชีพ คนจนได้ฟังข่าวดี"

(ยน3:16) พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก จึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อ
ทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร

1. ความเชื่อศรัทธา

(มก 11:22) พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า "จงมีความเชื่อในพระเจ้าเถิด"

(ลก 17:19) แล้วพระองค์ตรัสกับคนโรคเรื้อนว่า "จงลุกขึ้น ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่าน รอดพ้นแล้ว"

(มก 11:23) เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าผู้ใดบอกภูเขาลูกนี้ว่า  "จงยกตัวขึ้น และทิ้งตัวลงไปใน ทะเลเถิด" โดยไม่มีใจสงสัย แต่เชื่อว่า สิ่งที่เขาพูดนั้นจะเป็นจริง มันก็จะเป็นเช่นนั้น

(มก 2:5) เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของคนเหล่านี้จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า "ลูกเอ๋ย บาปของ ท่านได้รับการอภัยแล้ว"

(ลก 7:50) พระองค์ตรัสกับหญิง(ผู้หลั่งน้ำตารดเท้าของพระองค์)นั้นว่า "ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้ รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด"

(มก 11:24) "ดังนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านวอนขอในการอธิษฐานภาวนา จงเชื่อว่า ท่านจะได้รับ และท่านก็จะได้รับ"

(มก 4:39-40) พระองค์จึงทรงลุกขึ้น บังคับลม ตรัสสั่งทะเลว่า "เงียบซิ  จงสงบลงเถิด" ลมก็หยุด ท้องทะเลราบเรียบอย่างยิ่ง  แล้วพระองค์ ตรัสถามเขาว่า  "ตกใจกลัวเช่นนี้ทำไม ท่านยังไม่มีความเชื่อหรือ"

2. ความจริง

(ยน 14:6) พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า"เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปหาพระบิดาได้ นอกจากผ่านทางเรา"

(ยน 8:32) "ท่านจะรู้ความจริง  และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ"

(ยน 8:44) "ท่านมาจากปีศาจซึ่งเป็นบิดาของท่าน บิดาของท่านไม่ยืนหยัดอยู่ในความจริง  เพราะ ความจริงไม่อยู่ในเขา  เมื่อเขาพูดเท็จเขาก็พูดตามธรรมชาติของเขา  เพราะเขาเป็นผู้พูดเท็จ และเป็นบิดาของการพูดเท็จ"

3. การไตร่ตรอง / ภาวนา

(ลก 4:42) เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จออกไปยังที่สงัด ประชาชนต่างเสาะหาพระองค์จนพบ แล้ว หน่วงเหนี่ยวพระองค์ ไม่ยอมให้จากพวกเขาไป

(ลก 12:27) จงสังเกตดูดอกไม้ในทุ่งนาเถิด ดอกไม้ไม่ปั่นด้ายหรือทอผ้า แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอน เมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหรา ก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง

(ลก 2:51) พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสอง  พระมารดา ทรงเก็บเรื่องทั้งหมด เหล่านี้ไว้ในพระทัย

(มธ 13:23) ส่วนเมล็ดที่หว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ

(มก 4:20) ส่วนเมล็ดพืชที่ตกในที่ดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาแล้วรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า และร้อยเท่า

(ลก 6:12) ครั้งนั้นพระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนา  และทรงอธิษฐานภาวนาต่อ พระเจ้าตลอดทั้งคืน

(ลก 22:39) พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่นไปยังภูเขามะกอกเทศเช่นเคย บรรดาศิษย์ตามเสด็จไปด้วย

(ลก 5:16) แต่พระองค์เสด็จไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนา

(มธ 4:1) เวลานั้น พระจิตเจ้าทรงนำพระเยซูเจ้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้ปีศาจมาผจญพระองค์

(ลก 22:46) พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "นอนหลับทำไม จงลุกขึ้นอธิษฐานภาวนาเถิดเพื่อจะไม่ถูก ทดลอง"

(มธ 26:36) เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาพร้อมกับบรรดาศิษย์ถึงสถานที่แห่งหนึ่งชื่อเกทเสมนี  พระองค์ ตรัสแก่เขาเหล่านั้นว่า "จงนั่งอยู่ที่นี่ ขณะที่เราไปอธิษฐานภาวนาที่โน่น"

(ลก 18:1-7) พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องอุปมาเรื่องหนึ่งแก่บรรดาศิษย์ เพื่อสอนว่าจำเป็นต้องอธิษฐาน ภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย   พระองค์ตรัสว่า "ผู้พิพากษาคนหนึ่งอยู่ในเมืองหนึ่ง  เขาไม่ยำเกรง พระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด  หญิงม่ายคนหนึ่งอยู่ในเมืองนั้นด้วย   นางมาพบเขาครั้งแล้วครั้งเล่า พูดว่า 'กรุณาให้ความยุติธรรมแก่ดิฉันสู้กับคู่ความเถิด'    ผู้พิพากษาผู้นั้นไม่ยอมทำตามที่นางขอร้อง จนเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จึงคิดว่า 'แม้ว่าฉันไม่ยำเกรงพระเจ้าและ ไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด  แต่เพราะ หญิงม่ายผู้นี้มาทำให้ฉันรำคาญ ฉันจึงจะให้นางได้รับความยุติธรรม เพื่อมิให้นางรบเร้าฉันอยู่ตลอด เวลา'   จงฟังคำที่ผู้พิพากษาอธรรมคนนั้นพูดซิ  แล้วพระเจ้าจะไม่ประทานความยุติธรรมแก่ผู้ เลือกสรรที่ร้องหาพระองค์ทั้งวันทั้งคืนดอกหรือ  พระองค์จะไม่ทรงช่วยเขาทันทีหรือ"

4. มโนธรรม / วิจารณญาน / ความกล้าหาญเชิงศีลธรรม

(มธ 5:30) "ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย  เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะ ส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดตกนรก"

(มธ 18:8) "ถ้ามือหรือเท้าของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย   ท่านเข้าสู่ชีวิตโดยมีมือ หรือเท้าข้างเดียว ยังดีกว่ามีมือหรือเท้าทั้งสองข้าง แต่ถูกทิ้งลงในไฟนิรันดร"

(ลก 18:8) "เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมา จะทรงพบความเชื่อในโลกนี้หรือ"

(มธ 5:10) "จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดา ๆ เหล่านี้คนใดเลย  เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอด เวลาในสวรรค์   ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์"

(มธ 24:10,12-13) "ในเวลานั้น หลายคนจะละทิ้งความเชื่อ จะทรยศและเกลียดชังกัน  ความอธรรมจะเพิ่มมากขึ้น  ความรักของคนจำนวนมากจะเย็นลง  แต่ผู้ใดยืนหยัดอยู่จนถึงวาระสุดท้าย ผู้นั้นก็จะรอดพ้น"



5. อิสรภาพ

(ยน 8:32) "ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ"

(ยน 14:27) "เรามอบสันติสุขไว้ให้ท่านทั้งหลาย เราให้สันติสุขของเรากับท่าน  เราให้สันติสุขกับท่าน ไม่เหมือนที่โลกให้  ใจของท่านอย่า หวั่นไหว หรือมีความกลัวเลย"

(ลก 5:10) ยากอบและยอห์น บุตรของเศเบดี ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานกับซีโมน ก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่ซีโมนว่า "อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นชาวประมงหามนุษย์"

6. ความยินดี

(ยน 16:22) "บัดนี้ท่านมีความทุกข์แต่เราจะเห็นท่านอีก และใจของท่านจะยินดี ไม่มีใครนำความ ยินดีไปจากท่านได้"

(ลก10:20) "จงชื่นชมยินดีที่ชื่อของท่านจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว"

(ยน 14:1) "ใจของท่านทั้งหลายจงอย่าหวั่นไหวเลย   จงเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในเราด้วย"

(ลก 12:7) "ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว อย่าเกรงกลัวเลย   ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำนวนมาก"

(ยน 17:13) "ข้าพเจ้ากล่าววาจานี้ขณะที่ยังอยู่ในโลก เพื่อบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้า จะมีความยินดีบริบูรณ์ พร้อมกับข้าพเจ้า"

7. ความเคารพ / ศักดิ์ศรี

(ลก 20:36) "เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์และจะเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะเขาจะกลับคืนชีพ"

(มธ 10:29) "นกกระจอกสองตัว เขาขายกันเพียงหนึ่งบาทมิใช่หรือ  ถึงกระนั้นก็ไม่มีนกสักตัวเดียว ที่ตกถึงพื้นดิน โดยที่พระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ"

(มธ 18:10) "จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดา ๆ เหล่านี้คนใดเลย    เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์"

8. ความสุภาพถ่อมตน

(มธ 11:29) "จงรับแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน  จิตใจของท่านจะได้รับการพักผ่อน"

(ลก 14:11) "เพราะทุกคนที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง  แต่ทุกคนที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น"

(มธ 5:5) "ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก"

(มธ 18:4) "เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ คนนี้  ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดใน อาณาจักรสวรรค์"

9. ความซื่อตรง

(ยน 1:13) "ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องเกิดใหม่จากเบื้องบน"

(มธ 5:37) "ท่านจงกล่าวเพียงว่า ‘ใช่' หรือ ‘ไม่ใช่'  ที่เกินไปนั้นมาจากปีศาจ"

(ยน 1:47) พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลเข้ามาเฝ้า จึงตรัสถึงเขาว่า "นี่คือชาวอิสราเอล แท้ เป็นคนไม่มีมารยา"

(ลก 16:15) "ท่านทั้งหลายคิดว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ แต่พระเจ้าทรงล่วงรู้ใจของท่าน สิ่งที่มนุษย์ยกย่อง เป็นสิ่งน่ารังเกียจเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า"

(มธ 15:8) "ประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปาก  แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา"

(มธ 23:13-15) "วิบัติจงเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด   ท่านปิดประตู อาณาจักรสวรรค์ใส่หน้ามนุษย์   ท่านไม่เข้าไป และไม่ปล่อยคนที่อยากเข้า ให้เข้าไปได้   วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อทำให้คนเพียงคนเดียวกลับใจ และเมื่อเขากลับใจแล้ว ท่านก็ทำให้เขาสมควรจะไปนรกมากกว่าท่านสองเท่า"

(ลก 16:10) ผู้ที่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย

(ลก 8:15) ส่วนเมล็ดที่ตกในที่ดินดีหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาด้วยใจที่ดีและซื่อตรง ยึดพระวาจาไว้ด้วยความพากเพียรจนเกิดผล

10. ความเรียบง่าย / ความพอเพียง

(ลก 18:16) แต่พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็ก ๆ เหล่านั้นเข้ามาตรัสว่า  "ปล่อยให้เด็กเล็ก ๆ มาหา เราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็กเหล่านี้"

(ลก 12:24-27) "จงสังเกตดูนกกาเถิด นกกามิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว ไม่มีโรงนา ไม่มียุ้งฉาง แต่ พระเจ้าทรงเลี้ยงมัน  ท่านทั้งหลายมีค่ามากกว่านกสักเพียงใด  ท่านใดบ้างที่กังวลแล้วต่ออายุของตน ให้ยาวออกไปอีกสักหนึ่งวันได้  ดังนั้นถ้าสิ่งเล็กน้อยเช่นนี้ยังอยู่เหนืออำนาจของท่านแล้ว ท่านจะกังวล ถึงเรื่องอื่น ๆ ทำไมเล่า  จงสังเกตดูดอกไม้ในทุ่งนาเถิด ดอกไม้ไม่ปั่นด้ายหรือทอผ้า    แต่เราบอกท่าน ทั้งหลายว่ากษัตริย์ซาโลมอน เมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหราก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง"

(มธ 6:32) "เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้คนต่างศาสนาแสวงหา  พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรง ทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่งเหล่านี้ "

(มธ 8:20) พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า "สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่ง มนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ"

11. ความรัก

(มธ 5:43-45) "ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู   แต่เรากล่าวแก่ท่าน ว่า จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่ เบียดเบียนท่าน  เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรม และคนอธรรม"

(มธ 22:39) "บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน คือท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง"

(ยน 15:12) "นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกันเหมือนดังที่เรารักท่าน"

12. เมตตา

(มธ 20:34) พระเยซูเจ้าทรงสงสาร  ทรงสัมผัสนัยน์ตาของคนตาบอด ทันใดนั้น เขากลับมองเห็น และติดตามพระองค์ไป

(ลก 7:13) เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นหญิงม่ายที่สูญเสียบุตรคนเดียวของตน ก็ทรงสงสารและตรัสกับ นางว่า "อย่าร้องไห้ไปเลย"

(มธ 9:36) เมื่อพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชน ก็ทรงสงสาร  เพราะเขาเหล่านั้น  เหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ ประดุจฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง

(ยน 11:33) พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นมารีย์น้องสาวของลาซารัส กำลังร้องไห้ และชาวยิวที่ตาม มาก็ร้องไห้ด้วย พระองค์ทรงสะเทือนพระทัย และเศร้าโศกมาก

(ลก 15:20) บุตรคนเล็กก็กลับไปหาบิดา ‘ขณะที่เขายังอยู่ไกล บิดามองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไป สวมกอดและจูบเขา

(ลก 6:36) "จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด"

(ลก 10:33-34) แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่งเดินทางผ่านมาใกล้ ๆ เห็นผู้ถูกโจรปล้นก็รู้สึกสงสาร  จึงเดิน เข้าไปหา เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตน พาไปถึง โรงแรมแห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา

13. ความกตัญญูรู้คุณ

(ลก 17:16-17)  คนโรคเรื้อนซบหน้าลงแทบพระบาท ขอบพระคุณพระองค์ เขาผู้นี้เป็นชาวสะมาเรีย  พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า "ทั้งสิบคนหายจากโรคมิใช่หรือ อีกเก้าคนอยู่ที่ใดเล่า"

(มธ 15:36) พระเยซูเจ้าทรงหยิบปลาและขนมปังเจ็ดก้อนนั้น ตรัสขอบพระคุณพระเจ้า  ทุกคนกินจน อิ่ม และยังเก็บเศษที่เหลือได้อีกเจ็ดตะกร้า

(ลก 22:19) พระเยซูเจ้าทรงหยิบขนมปัง ทรงขอบพระคุณ ทรงบิขนมปังประทานให้บรรดาศิษย์ ตรัส ว่า "นี่เป็นกายของเราที่ถูกมอบเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำดังนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด"

(ยน 11:41) คนเหล่านั้นจึงยกแผ่นหินปิดคูหาฝังศพออก พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า  "ข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงฟังคำของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบดีว่าพระองค์ ทรงฟังข้าพเจ้าเสมอ"

(ลก 2:51) พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสอง

14. การงาน / หน้าที่

(ลก 10:7) "จงพักอาศัยในบ้านนั้น กินและดื่มของที่เขาจะนำมาให้ เพราะว่าคนงานสมควรที่จะได้รับค่าจ้างของตน"

(มธ 16:27) "บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จกลับมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาพร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทานรางวัลแก่ทุกคนตามการงานของเขา"

(ยน 5:17) แต่พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า"พระบิดาของเราทรงทำงานอยู่เสมอ เราก็ทำงานด้วยเช่นกัน"

(มธ 5:16) "ในทำนองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์   เพื่อคนทั้งหลายจะได้ เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์"

(ยน15:8) "พระบิดาของเราจะทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์เมื่อท่านเกิดผลมาก และกลายเป็นศิษย์ของเรา"

(ยน 17:4) "ข้าพเจ้าทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในโลกนี้แล้ว โดยปฏิบัติภารกิจจนสำเร็จ ตามที่ทรงมอบหมายกับข้าพเจ้า"

(ยน 6:27) "อย่าขวนขวายหาอาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไป  แต่จงหาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิต นิรันดรมาให้  อาหารนี้บุตรแห่งมนุษย์จะประทานให้ท่าน เพราะพระเจ้าพระบิดาทรงประทับตรารับรอง บุตรแห่งมนุษย์ไว้แล้ว"

(ลก 13:24) "จงพยายามเข้าทางประตูแคบ  เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าหลายคนพยายามจะเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้"

(ลก 17:10) ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ทำตามคำสั่งทุกประการแล้ว จงพูดว่า "ฉันเป็น ผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์ เพราะฉันทำตามหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น"

15. การรับใช้

(ยน 13:14) "ในเมื่อเราซึ่งเป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ยังล้างเท้าให้ท่าน ท่านก็ต้องล้างเท้า ให้กันและกันด้วย   เราวางแบบอย่างไว้ให้แล้ว ท่านจะได้ทำเหมือนกับที่เราทำกับท่าน"

(ลก 22:26) "แต่ท่านทั้งหลายจงอย่าเป็นเช่นนั้น  ท่านที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดจงทำตนเป็นผู้น้อยที่สุด ผู้ที่เป็นผู้นำจงเป็นผู้รับใช้"

16. ความยุติธรรม

(ยน 8:7) เมื่อคนเหล่านั้นยังทูลถามย้ำอยู่อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า "ท่านผู้ใดไม่มี บาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด"

(ลก 18:3) หญิงม่ายคนหนึ่งอยู่ในเมืองนั้นด้วย  นางมาพบเขาครั้งแล้วครั้งเล่าพูดว่า "กรุณาให้ ความยุติธรรมแก่ดิฉันสู้กับคู่ความเถิด"

(ลก 16:19-21) เศรษฐีผู้หนึ่ง แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน  คนยากจนผู้หนึ่งชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น  เขามีบาดแผลเต็มตัว อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐี





17. สันติ / การคืนดี

(ยน 14:27) "เรามอบสันติสุขไว้ให้ท่านทั้งหลาย  เราให้สันติสุขของเรากับท่าน เราให้สันติสุขกับท่าน ไม่เหมือนที่โลกให้ใจของท่านอย่าหวั่นไหว หรือมีความกลัวเลย"

(ลก 10:6) "ถ้ามีผู้สมควรจะรับสันติสุขอยู่ที่นั่นสันติสุขของท่านจะอยู่กับเขา มิฉะนั้น สันติสุขของท่าน จะกลับมาอยู่กับท่านอีก"

(มธ 5:9) "ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า"

(มธ 5:24) "จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวาย เครื่องบูชานั้น"

18. อภัย

(ลก 11:3-4) โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเหมือนข้าพเจ้าทั้งหลายให้อภัยแก่ผู้อื่น

(ลก 15:11-24) พระองค์ยังตรัสอีกว่า ‘ชายผู้หนึ่งมีบุตรสองคน  บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า  "พ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด" บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน  ต่อมาไม่นาน บุตรคนเล็กรวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทางไปยังประเทศห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น  ‘เมื่อเขาหมดตัว  ก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น   และเขาเริ่มขัดสน  จึงไปรับจ้างอยู่กับชาวเมืองคนหนึ่ง  คนนั้นใช้เขาไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา  เขาอยากกินฝักถั่วที่หมูกินเพื่อระงับความหิว แต่ไม่มีใครให้  เขาจึงรู้สำนึกและคิดว่า "คนรับใช้ของพ่อฉันมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ส่วนฉันอยู่ที่นี่ หิวจะตายอยู่แล้ว  ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า "พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ  ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด"  เขาก็กลับไปหาบิดา ‘ขณะที่เขายังอยู่ไกล บิดามองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา  บุตรจึงพูดกับบิดาว่า "พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก"  แต่บิดาพูดกับผู้รับใช้ว่า "เร็วเข้า จงไปนำเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำแหวนมาสวมนิ้ว นำรองเท้ามาใส่ให้  จงนำลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด  เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก" แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น
(ลก 23:34) พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลัง ทำอะไร' ทหารนำเสื้อผ้าของพระองค์ไปจับสลากแบ่งกัน

(มธ 5:22) "แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า  ‘ไอ้โง่' ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่บัดซบ' ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก"

(ลก 17:3-4) ‘ถ้าพี่น้องของท่านทำผิด จงตักเตือนเขา ถ้าเขากลับใจ จงให้อภัยแก่เขา  ถ้าเขาทำผิด ต่อท่านวันละเจ็ดครั้ง และกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดครั้ง พูดว่า "ฉันเสียใจ" ท่านจงให้อภัยเขาเถิด'

19. ความเป็นหนึ่ง / ความเป็นชุมชน

(มธ 6:9) ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้ "ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตใน สวรรค์พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ"

(ยน 10:30) "เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน"

(มก 3:35) "ผู้ใดทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา"

(ยน 15:12) "นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน"

(ยน 13:35) "ถ้าท่านมีความรักต่อกัน ทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา"

20. ความมหัศจรรย์ใจ / รักษ์ธรรมชาติ

(ลก 10:20) "จงชื่นชมยินดีที่ชื่อของท่านจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว"

(ลก 12:24) "จงสังเกตดูนกกาเถิด นกกามิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว ไม่มีโรงนา ไม่มียุ้งฉาง แต่พระเจ้าทรงเลี้ยงมัน  ท่านทั้งหลายมีค่ามากกว่านกสักเพียงใด"

(ลก 12:27) "จงสังเกตดูดอกไม้ในทุ่งนาเถิด ดอกไม้ไม่ปั่นด้ายหรือทอผ้า แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหรา ก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง"

(มธ 11:27) "พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มีใคร รู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้รู้"

21. ความหวัง

(ยน 3:15) เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร

(ยน 6:40) "พระประสงค์ของพระบิดาของเรา ก็คือทุกคนที่เห็นพระบุตร แล้วเชื่อในพระบุตรจะมีชีวิต นิรันดร  และเราจะให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย"

(ลก 6:35) "จงทำดีโดยไม่หวังอะไรกลับคืน แล้วบำเหน็จรางวัลของท่านจะใหญ่ยิ่ง"

(มธ 12:21) จนกว่าเขาจะทำให้ความยุติธรรมมีชัยชนะ  นานาชาติจะมีความหวังในนามของเขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น